วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2554

การดูแลรักษาโน็ตบุค

  
    การดูแลลรักษา รวมถึงการใช้งานที่ถูกวิธิ จะช่วยทำให้โน๊ตบุคคู่ใจของเรามีอายุยาวนานได้นะครับ มีเคล็ดลับง่ายๆมาฝาก ดังต่อไปนี้ครับ

1 ใช้งานโน้ตบุ๊กให้ถูกสถานที่

        โน้ตบุ๊กควรใช้ในสถานที่ที่มีการถ่ายเทของอากาศที่ไหลเวียนได้สะดวก และการวางโน้ตบุ๊กไม่ควรวางบนพื้นที่มีความนุ่ม เพราะจะทำให้ไปปิดบังช่องระบายความร้อนใต้เครื่องได้ มีผู้ใช้บางกลุ่มนิยมนำโน้ตบุ๊กไปใช้บนที่นอน ซึ่งไม่ควรทำ เพราะที่นอนมีความนุ่มเวลาวางโน้ตบุ๊กลงไป พื้นด้านล่างจะแนบชิดไปกับที่นอนทั้งหมด ไม่มีช่องระบายความร้อน ซึ่งอาจจะส่งผลให้โน้ตบุ๊กเกิดความร้อนสูง จนแฮงค์และไม่สามารถใช้งานได้ต่อไป นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการใช้โน้ตบุ๊กในบริเวณที่มีฝนตก หรือมีความชื้นสูงๆ เพราะจะส่งผลต่อ อุปกรณ์ต่างๆ ภายใน  

  
2 การชาร์จแบตเตอรี่

         ผู้ใช้ควรอ่านคำแนะนำในการชาร์จแบตเตอรี่ในคู่มือที่มีมาให้ทุกครั้ง โดยเฉพาะการชาร์จไฟครั้งแรก ซึ่งจะต้องชาร์จนานกว่าปกติ หลังจากนั้นก็สามารถชาร์จไฟใหม่ได้ถึงแม้ว่าใช้งานแบตเตอรี่ยังไม่หมด

         มีผู้ใช้หลายท่านให้ข้อคิดเห็นว่า เวลาเสียบปลั๊กใช้งาน ซึ่งแบตเตอรี่เต็มแล้ว ไม่ควรจะใส่แบตเตอรี่เอาไว้ในเครื่อง เพราะจะทำให้ เกิดความร้อน และแบตเตอรี่เสื่อมเร็ว จริงๆ แล้วก็อาจจะเป็นไปได้ แต่ถ้าเรามองอีกมุมหนึ่ง การใส่แบตเตอรี่ค้างเอาไว้ขณะเสียบปลั๊กใช้งานก็เป็นการป้องกันเรื่องของไฟดับกะทันหันได้เช่นกัน เพราะถ้าเกิดไฟดับกระทันหัน จะส่งผลโดยตรงต่อฮาร์ดดิสก์ภายในเครื่อง ซึ่งอาจจะเสียหายได้ทันที โดยปกติแล้วแบตเตอรี่ก็มีอายุการใช้งานโดยเฉลี่ยที่ 2 ถึง 3 ปี ตามแต่ลักษณะของการใช้งานของแต่ละคน ซึ่งก็คงต้องใช้งานให้ถูกวิธีครับ จะช่วยยืด เวลาให้ยาวนานขึ้นไปได้อีกการสำรองข้อมูล

         เนื่องจากโน้ตบุ๊กออกแบบมาเพื่อการพกพา ดังนั้นโอกาสที่จะเกิดการกระทบ หรือเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันจะค่อนข้างสูง ดังนั้นควรจะมี การสำรองข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะข้อมูลที่มีความสำคัญ ซึ่งปัจจุบันโน้ตบุ๊กจะติดตั้งคอมโบไดรฟ์มาให้อยู่แล้ว ดังนั้นการบันทึกข้อมูลลงบนแผ่นซีดีน่าจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมมากที่สุดครับ ในการสำรองข้อมูลก็ สามารถใช้คำสั่ง Backup ใน Windows XP จัดการได้เลย เข้าไปที่เมนู Start => Programs => Accessories => System => Backup แล้วทำตามขั้นตอนต่างๆ ที่มีหน้าจอแสดงขึ้นมาแนะนำ


3 การทำความสะอาดโน้ตบุ๊ก

         การทำความสะอาดควรใช้ผ้าแห้ง หรือผ้าชุบน้ำบิดให้มาดๆเช็ดทำความสะอาดโดยรอบตัวเครื่อง ยกเว้นจอภาพที่ควรจะใช้ผ้าหรือวัสดุที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ จัดการทำความสะอาด ไม่ควรใช้สารเคมีมาทำความสะอาดนอกจากจะเป็นน้ำยาสำหรับทำความสะอาดโน้ตบุ๊กโดยเฉพาะ ส่วนตรงคีย์บอร์ดที่มักจะมีฝุ่น หรือเศษผงติดเข้าไปด้านใน ไม่ควรใช้วิธีการเป่า แต่ควรใช้วิธีการดูด อาจจะดูดด้วยเครื่องดูดฝุ่นเพื่อช่วยทำความสะอาดก็ได้เช่นกัน


4 หลีกเหลี่ยงไม่ให้โดนกระแทก

         ในการใช้งานปกติคุณควรจะระมัดระวังเรื่องของการกระแทกเอาไว้ด้วย เพราะใน้ตบุ๊กปกติจะสามารถทนแรงกระแทกได้ไม่มากนัก โดยเฉพาะหน้าจอ หากโดนกระแทกแรงๆ ก็อาจจะไปกระทบกระเทือนอุปกรณ์ภายในได้ และเมื่อต้องการเคลื่อนย้ายโน้ตบุ๊กควรนำใส่กระเป๋าที่ออกแบบมาใช้กับโน้ตบุ๊กเฉพาะ นอกจากจะช่วยลดแรงกระแทกแล้วยังช่วยป้องกันน้ำได้อีกระดับหนึ่งด้วย


5 อ่านคู่มือก่อนการใช้งาน

         ก่อนการใช้งานทุกครั้ง ผู้ใช้ควรทำความรู้จักโน้ตบุ๊กที่กำลังจะใช้งานให้มากที่สุด ด้วยการอ่านคู่มือ และคำแนะนำต่างๆ เพื่อการใช้งาน ได้อย่างถูกต้อง และไม่ก่อให้เกิดความเสียหายในระยะยาว ปกติแล้วคู่มือจะแจ้งรายละเอียดของอุปกรณ์ทุกๆ อย่าง ตำแหน่งของพอร์ต และอุปกรณ์ คำเตือนและคำแนะนำต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ รวมถึงเบอร์โทรสำหรับติดต่อ สอบถามเมื่อโน้ตบุ๊กเกิดปัญหา

         นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหาร หรือเครื่องดื่มระหว่างการใช้งาน เพราะอาจจะหกรดไปบนตัวเครื่อง ทำให้เกิดความเสียหายได้
และทำให้โน้ตบุ๊กสกปรก และอาจเป็นสาเห็นให้มีมดเข้าไปในเครื่องก่อให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงต่อตัวเครื่องได้นะครับ และที่สำคัญ เมื่อคุณเลิกเล่นหรือเลิกใช้งาน
ควรทำการปิดเครื่องทุกครั้งนะครับ เพื่อลดค่าวามเสื่อมต่างๆของอุปกรณ์ที่อาจจะเกิดจากความร้อน และที่สำคัญเพื่อเป็นการช่วยประหยัดไฟ นะครับ 

เคล็ดลับ การเรียนเก่ง

 เคล็ดลับ การเรียนเก่ง

1.คุมเวลาตื่นนอนให้ได้ทุกวันก่อนครับ. 

       เช่น ตื่น 6 โมงเช้านอน 4 ทุ่ม ซัก 1 เดือนติดต่อกัน 
ให้ได้ก่อนค่อยมาว่าจะอ่านหนังสือครับ. 
เพราะจะเป็นการจัดระบบมันสมองใด้อย่างดีเยี่ยม 
และจะรู้สึกว่าสมองมีพลังในการรับรู้ครับ. 
ถ้าทำข้อนี้ไม่ได้ อย่าคิดว่าจะเรียนให้ดีได้ยากครับ.

2. หลักการอ่านหนังสือใด ๆ ไม่จำเป็นต้องอ่านทีละนาน ๆ คะ

       เช่นตั้งไว้ว่า วันนึง เราจะ อ่านซัก 1 - 2 ชม.ก็เกินพอครับ. 
แต่สำคัญอยู่ที่ความต่อเนื่องครับ. ถ้ายังบังคับตัวเองไม่อยู่ ข้อ 1. ก็เป็นการฝึกบังคับอย่างนึงแล้ว 
ต้องอ่านทุกวัน ไม่มีวันหยุดครับ.

3. ที่ว่า 1 -2 ชม.นั้นต้องรู้ว่าตัวเองเราสามารถรับได้ครั้งละเท่าไรครับ.
       อย่างเช่นพี่จะ อ่านวันละ 2 ชม. แต่แบ่ง เป็น 4 ยกครับ. ครั้งละ25 - 30 นาที 
และพัก 5- 10 นาที

4. อ่านจบวันนึง ๆ ต้องมีสรุปแบบเล่มยาว ๆ เลยนะครับ. 

        สรุปสั้น ๆ ว่าวันนี้ได้อะไรบ้าง สูตรอะไร ๆ หรือความเข้าใจอะไร

5. ถึงตอนนอนให้นั่งสมาธิซัก 5 นาทีพอรู้สึกใจเริ่มนิ่ง ให้นึกที่เราสรุปไว้ เมื่อกี๊ครับ.
          ถ้านึกไม่ออกแสดงว่าสมาธิตอนอ่านหนังสือไม่ด ี
ให้เปิดไฟ ลุกออกไปดูที่สรุปใหม่ แล้วนึกใหม่ครับ.


6. ต้องรู้วิธีเรียนในแต่ละวิชาครับ.
        เช่น คณิต + ฟิสิกส์ เน้นความเข้าใจเป็นอันดับ 1 
เคมี เน้น เข้าใจ + ท่องจำบางอย่าง เช่น ตารางธาตุ ถ้าท่องยังไม่ได้แสดงว่าไม่เข้าใจว่ามันจำเป็นต้องจำ 
อังกฤษ เป็นเรื่องทักษะ ต้องใช้บ่อย ๆ ครับ. 
เวลาจะทำอะไรก็นึกเป็นภาษาอังกฤษบ้าง 
เช่นนึกจะทักเพื่อนว่าไปไหน ก็นึกว่า 
where do you go .? อะไรเป็นต้น 
แล้วก็ต้องเข้าใจ เป็นภาษาต่างด้าวยังมีคำหรือสำนวนที่เราไม่เข้าใจอีกเยอะ 
ดังนั้นเรื่องศัพท์ต้องรู้เยอะ ๆ เวลาจะไปดูหนัง Entertain กันทั้งที 
ก็เลือกดูเรื่องที่เขามีแต่ sub title เป็นภาษาอังกฤษ

7. วิธีเรียนพวกวิชาที่ใช้ความเข้าใจ

         อันดับแรกต้องรีบศึกษาเนื้อหาทั้งหมดให้จบอย่างรวดเร็วครับ. 
ถามว่าอ่านจากไหน อย่ามองไกลครับ. 
แบบเรียนนั่นล่ะ อย่าเพิ่งไปมองพวกคู่มือ 
ถ้าเราอ่านแบบเรียนไม่รู้เรื่อง ก็อย่าไปหวังจะดูตำราอื่นเลยครับ. 
จากนั้นให้รีบหา แบบฝึกหัด มาทำในแบบเรียนนั่นล่ะให้ได้หมดก่อน 
จากนั้นค่อย เสาะหาตำราคู่มือที่คิดว่าเราดี อ่านแล้วเข้าใจอีกซักเล่มนึงมา 
อ่านเนื้อหาให้หมด อีกที แล้วทำแบบฝึกหัดในเล่มนั้นให้จบหมด . 
สำคัญคือความตั้งใจนะครับ. 
ต้องเข้าใจว่าเรา มีความรู้ในบทนั้น ๆ จบแล้ว 
ทำไมยังทำโจทย์บางข้อไม่ได้ พยายามคิด 
สุดท้ายไม่ออก ก็ดูเฉลย แล้วต้องตอบตัวเอง 
ให้ได้ว่าเราโง่ตรงไหน ทำไมทำไม่ได้ 
โจทย์ข้อนั้น ๆ เป็นเทคนิคเฉพาะหรือเปล่า 
ต่อไป ก็เสาะหาพวกข้อสอบต่าง ๆ มาให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้ว ก็ ทำ ๆ ๆ จนเกิดรู้สึกว่า 
บรรลุ !!! ในเรื่องนั้น ๆ มันเป็นความรู้สึกคล้าย ๆ สำเร็จเป็นผู้วิเศษอะไรทำนองนั้น หรือฝึกวิทยายุทธสำเร็จแบบนั้น 
มองโจทย์ปุ๊บ จะเกิดความคิด แปร๊บ ๆ ขึ้นมานึกออกทะลุหมด 
เมื่อนั้นรู้สึกแบบนี้เมื่อไร ให้รีบสรุปเนื้อหาบทนั้น ๆ ออกมา 
ในกระดาษขนาดประมาณ 2.5 นิ้ว คูณ 4 - 5 นิ้วครับ. 
ใช้หน้าหลังเขียนให้พอให้ได้ใน 1 บทต่อ 1 แผ่น อาจจะมียกเว้นบางบท 
เช่น สถิติ อาจใช้ถึง 6 แผ่น หรือตรีโกณ 3 แผ่น ส่วนใหญ่ไม่เกินหรอกครับ. 
จากนั้นปาตำราบทนั้น ๆ ทิ้งไปเลยครับ

8. สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำอะไรก็ตามที่
         คือ ต้องมีความรู้ติดสมอง สามารถหยิบมาใช้การได้ทันทีครับ. ถ้าคิดจะเรียนเพื่อสอบนั่นก็แสดงว่า กำลังคิดผิดอย่างใหญ่หลวงครับ. เด็กสมัยใหมนี้ชอบคิดว่าเรียน ๆ ไปเพื่อสอบ สอบเสร็จก็เลิก 
นั่นเป็นเพราะผลพวงของระบบ แข่งในการศึกษาของไทยเราครับ. เด็กต้องสอบ Entrance เข้าต่อ 
ทำให้ไม่เกิดความรู้สึกในการใฝ่รู้ 
ต้องเข้าใจว่าเราเรียนหนังสือนี่ ต้องถือว่าไม่มีใครมาบังคับเรา 
เราเรียนเพื่อตัวเราเอง เพื่อพัมนาสมองเราเอง พัฒนา มุมมองความคิดต่าง ๆ 
เพื่อให้เราเป็นยอดคนเอง สามารถที่จะพึ่งตัวเองได้ทุกเมื่อ 
ไม่ว่าจะยังอยู่ในความดูแลของผู้ปกครองหรือหลุดจากอ้อมแขน บิดามารดาเมื่อไร 
ต้องสามารถที่จะกล้าคิดและทำ พึ่งตัวเอง ยังชีพตัวองในสังคมนี้ได้ครับ. 
ดังนั้น จากข้อ 7. เราต้องบันทึกความรู้ที่เรารู้แล้ว 
ให้เป็นความรู้ยาวนานติดสมอง 
โดยทำดังต่อไปนี้ค๊ะ
        - ให้นึก ! โน๊ตย่อที่เราสรุปเอง อาทิตย์ละหน ติดต่อกัน ซัก 1เดือนหรือ 4 อาทิตย์
นึกนะครับ . ไม่ใช่เปิดดูถ้านึกไม่ออก แสดงว่าไม่ได้สรุปเองแล้วล่ะเปิดหนังสือ แล้วสรุปตามแหง ๆ 
จากนั้นให้ทิ้งห่างเป็น นึก 1 เดือนต่อครั้ง 
จนเริ่มรู้สึกเบื่อ เพราะนึกทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว
ให้เลิกครับ. ใกล้สอบค่อยว่ากันอีกที 
กระบวนการที่ว่านึกตั้งแต่ 1 อาทิตยืจนเลิกนึกนี่ 
คาดว่าไม่ตำกว่า 3 เดือนนะครับ. 
ใครน้อยกว่านี้ แสดงว่าโกหกตัวเองชัวร์

9. กระบวนการสุดท้าย เป็นการเพิ่มพลังความมั่นใจในตัวเองซึ่งต้องกระทำติดต่อกันบ่อยๆ เรื่อยๆ คือกระบวนการสอบแข่งขันครับ.

        ตรงนี้สำคัญมาก ถ้าเป็นไปได้สอบแข่งซะแต่ 
ม.1 จนจบ ม.6 เลย จะทำให้เรารู้อันดับตัวเอง 
เมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ ครับ. เช่นเราอาจจะเรียนได้เกรดดี แต่พอสอบแข่ง จริง ๆล่ะ สู้เขาได้ใหม 
ทักษะในการทำข้อสอบ มีใหม 
เข้าห้องก็เดินหน้าลุยทำแต่ข้อแรกยันข้อสุดท้ายเลยหรือเปล่า 
ก็พวก สมาคม โอลิมปิก หรืออะไรก็ตามที ทั้งสอบแข่งในโรงเรียน 
เช่น โรงเรียนจัดเอง หรือสัปดาห์ต่าง เช่น สัปดาห์วันวิทยาศาสตร์ 
ภาษาอังกฤษ โคงงงานวิทยาศาตร์ ตอบปัญหาภาษาไทย อังกฤษ ฯลฯ 
สุดท้ายทั้งหมดที่ว่ามา ถ้าน้องคนไหนทำได้นะครับ. ซัก 1 - 2 ปี รู้ผลแน่ 
พี่รับรองได้ 100 % เลยว่าอย่างน้อยต้องอยู่ในอันดับ 1 - 3 ของชั้น 
แน่นอน อันดับระดับประเทศ ก็ไม่เกิน 50 อย่างมาก 
อ้อ ลืมบอกไปครับ. สิ่งสำคัญคือการอ่านล่วงหน้าครับ. 
ช่วงปิดเทอม ก็อ่านของเทอมหน้านู้นหรือ อยู่ ม.4 จะอ่านของ ม.6ก็ได้นะไม่ผิด

เคล็บลับผิวขาว

 ในหมู่คนรักสวยรักงาม เป็นที่ทราบกันแบบอวดอ้างกล่าวขานต่อๆ กันมาว่า "กลูต้าไธโอน" เป็นสารที่ทำให้ผิวขาวผ่องและเป็นที่นิยมกันมาก แม้สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยจะออกมาเตือนผู้บริโภค ว่าไม่ควรหลงเชื่อโฆษณาที่อ้างว่าสามารถช่วยให้ผิวขาวขึ้น เพราะไม่มีผลิตภัณฑ์ใดที่จะทำให้ผิวขาวขึ้นได้อย่างถาวร ผลิตภัณฑ์หรือยาอาจช่วยให้ผิวขาวได้ชั่วคราว แต่เมื่อหมดฤทธิ์ร่างกายก็ผลิตเม็ดสีตามปกติ

          
อืม... แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะคะ สาวๆ ก็ต้องมาคู่กับความสวยความงาม วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับ วิธีทําให้ผิวขาว บอกลาผิวหม่นหมองด้วยวิธีธรรมชาติๆ มาฝากเพื่อนๆ กันด้วย ว่าแล้วไปดู  12 วิธีทําให้ผิวขาว บอกลาผิวหม่นหมองกันเลย... 

            1. การขัดผิว เป็น วิธีทําให้ผิวขาว ที่ขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปจากผิว โดยการใช้สครับที่มีขายตามท้องตลาด หรือจะเป็นสครับจากธรรมชาติง่าย ๆ แต่ได้ผล ซึ่งมีหลากหลายสูตรให้เลือก ได้แก่ มะละกอ นมสด มะขามเปียก น้ำผึ้ง โยเกิร์ต มะนาว  โดยนำอย่างใดอย่างหนึ่งมาผสมกับเกลือทะเลเพื่อให้มีเม็ดสำหรับขัดผิว เพียงเท่านี้คุณก็มีสครับขัดผิวได้ง่าย ๆ แล้ว หรือจะใช้ใยบวบในการช่วยขัดผิวก็ได้ การขัดผิวนี้จะช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดลอกออกไป แล้วเผยผิวใหม่ที่แน่นอนว่าต้องสว่างใสกว่าเดิม และควรทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อการปรนนิบัติและดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง

           
 2. เอเอชเอ หรือกรดผลไม้ มีขายทั่วไปตามคลินิกเสริมความงามหรือร้านขายยาทั่วไป ใช้สำหรับทาบนใบหน้าสัปดาห์ละ 2 ครั้งเพื่อกระตุ้นให้เซลล์ผิวเก่าหลุดลอกออกมา เป็น วิธีทําให้ผิวขาว เผยผิวใหม่ที่ขาวผ่อง แต่การใช้เอเอชเอนี้ ต้องดูแลและระวังเรื่องการออกแดด เพราะผิวคุณจะบางลงและไวต่อแดดมากกว่าเดิม

           
 3. น้ำนมเพื่อผิวขาว ไม่จำเป็นต้องลงไปแช่ในอ่างที่มีน้ำนมอยู่เต็มอ่าง แต่คุณสามารถทำตาม วิธีทําให้ผิวขาว ได้ง่าย ๆ ด้วยการใช้น้ำนมทาบนผิวโดยตรง อาจใช้ใยบวบช่วยเพื่อขัดผิวไปด้วยเบา ๆ ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ผิวจะค่อย ๆ ขาวขึ้น

           
 4. ผลไม้รสเปรี้ยว ช่วยในการขัดขี้ไคล เป็น วิธีทําให้ผิวขาว ขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยใช้ผลไม้รสเปรี้ยว เช่น มะนาว สับปะรด มะขามเปียก ส้ม เพราะมีความเป็นกรด ช่วยทำความสะอาดผิวให้ขาวใส และกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกมาได้ แต่หากคุณเป็นคนผิวบาง ไม่ควรใช้มะนาวหรือสับปะรดที่มีความเป็นกรดสูง ควรใช้ส้มเช้งที่มีคุณสมบัติคล้าย ๆ กันก็ได้

           
 5. ครีมบำรุงเพื่อผิวขาว ควรใช้ครีมบำรุงที่มีไวท์เทนนิ่งเพื่อผิวขาวในตอนเย็น และทาซ้ำก่อนนอนเพื่อเสริมประสิทธิภาพของครีมบำรุงให้บำรุงอย่างต่อเนื่อง ส่วนตอนกลางวันให้ทาไวท์เทนนิ่งเพียงบาง ๆ แล้วตามด้วยครีมกันแดด หรือจะใช้ไวท์เทนนิ่งที่มีส่วนผสมของสารป้องกันแสงแดดก็ได้ แต่หากสาว ๆ คนไหน อยู่ติดบ้าน ไม่ได้ออกไปเผชิญแสงแดดเลย ใช้ไวท์เทนนิ่งตัวเดียว ทาวันละ 2-3 ครั้งก็เอาอยู่แล้วจ้า

           
 6. ครีมกันแดด ควรเป็นสิ่งที่สาว ๆ ต้องมีติดกระเป๋าอยู่ตลอดเวลา ในกรณีที่คุณต้องเผชิญกับแสงแดดจัดโดยไม่ได้วางแผนมาก่อนจะได้หยิบขึ้นมาใช้ได้ทันการทันเวลา และอย่าลืมว่า ครีมกันแดดจำเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากคุณเพิ่งขัดผิวหรือใช้เอเอชเอกับผิวมาหมาด ๆ เพราะผิวคุณจะไวต่อแดดมาก จึงควรทาครีมกันแดด 20 นาทีก่อนออกแดดทุกครั้ง และทาซ้ำอีกทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง

           
 7. ทานอาหารให้เหมาะสม โดยให้มีผักและผลไม้ในอัตราส่วนครึ่งต่อครึ่งทุกมื้อ เพราะผักผลไม้เป็นอาหารที่ย่อยง่าย ช่วยเรื่องของการขับถ่าย และยังมีแอนตี้อ็อกซิแดนซ์ที่ทำให้ผิวสวยกระชับอีกด้วย ซึ่งเมื่อร่างกายขับถ่ายตามปกติแล้ว หน้าตาผิวพรรณก็จะสดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

           
 8. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพราะการออกกำลังกายจะช่วยขับเหงื่อไคล และสิ่งสกปรกใต้ผิวรวมถึงสารพิษออกมา ซึ่งจะทำให้ผิวดูสว่างสดใสขึ้น ยิ่งออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง ก็ยิ่งทำให้ผิวสดใสอยู่ตลอดเวลา แถมการออกกำลังกายยังช่วยลดการอุดตันของสิ่งสกปรกใต้ผิว ทำให้ไม่มีสิวอีกด้วย

           
 9. วิตามินซีเพื่อผิวสวย วิตามินซีมีสรรพคุณช่วยให้ผิวสวยสดใส ดังนั้นจึงเป็นสารอาหารที่ร่างกายควรได้รับอยู่เสมอ ไม่ว่าจะจากการทานผักผลไม้ เช่น ส้ม ฝรั่ง มะนาว หรือหากได้รับในแต่ละวันไม่เพียงพอ ก็อาจจะทานวิตามินแบบเม็ดที่ขายในร้านขายยาก็ได้ วิธีทําให้ผิวขาว นี้จะช่วยในเรื่องผิวและมีส่วนช่วยในเรื่องการขับถ่ายไปพร้อม ๆ กัน

           
 10. การอบไอน้ำผิวหน้า เป็นการทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่อุดตันอยู่ในรูขุมขนอย่างลึกซึ้ง ช่วยทั้งเรื่องของผิวสะอาดสว่างใส เป็นทั้ง วิธีทําให้ผิวขาว และช่วยขจัดสิวไปพร้อม ๆ กัน โดยวิธีอบไอน้ำผิวหน้านั้นก็ทำได้ง่าย ๆ เพียงตั้งกะทะต้มน้ำจนเดือด จากนั้นน้ำกะทะมาวางบนโต๊ะแล้วยื่นหน้าให้อยู่เหนือไอน้ำ ความร้อนจะช่วยเปิดรูขุมขน และไอน้ำจะเข้าไปทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่อุดตันรูขุมขนค่ะ

           
 11. เมคอัพช่วยได้ ใช้ครีมรองพื้นและแป้งที่สว่างกว่าผิวจริง 1 ระดับสี และหลังจากแต่งหน้าแล้วให้นำพู่กันแตะแป้งกลิตเตอร์ประกายมุกปัดบริเวณหน้าผากและโหนกแก้ม ก็จะช่วยให้หน้าดูสว่างใสขึ้นได้เยอะเลยทีเดียว

           
 12. สารพัดสูตรพอกหน้า นอกจากการขัดผิวแล้ว สาว ๆ ที่อยากมีผิวขาวสุขภาพดีควรพอกหน้า รวมถึงผิวกายให้ได้สัปดาห์ละ 2 ครั้ง โดยสูตรผิวขาวที่สามารถทำเองได้จากวัตถุดิบในบ้านนั้นก็มีมากมาย ที่สำคัญยังเห็นผลชัดอีกด้วยหากทำอย่างต่อเนื่อง และสูตร วิธีทําให้ผิวขาว ที่หยิบยกมาฝากกัน มีดังนี้

           วิธีทําให้ผิวขาว : สูตรมะละกอนมสด นำมะละกอมาบดผสมกับนมสด คนให้เข้ากัน จากนั้นนำไปพอกบนใบหน้าหรือผิวกายทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออก

           วิธีทําให้ผิวขาว : โยเกิร์ตผสมมะนาว มะนาวเป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่มีความเป็นกรดสูงมาก จนอาจทำให้แสบผิวได้ ดังนั้นการนำมะนาวมาผสมโยเกิร์ตแล้วนำไปทาผิวทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จะช่วยลดการระคายเคืองผิว และมะนาวจะช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่า เผยผิวใหม่ที่ใสกว่าเดิม 

           
วิธีทําให้ผิวขาว : น้ำมันมะพร้าวเพื่อผิวเนียนนุ่ม เป็นสูตรโบราณที่ใช้ได้ผลมาก น้ำมันมะพร้าวจะช่วยในเรื่องการทำให้ผิวเนียนนุ่มชุ่มชื้น แม้เพียงครั้งแรกที่ได้นำน้ำมันมะพร้าวมาทาผิว รับรองได้เลยว่า สาว ๆ จะรู้สึกถึงความเนียนนุ่มได้ทันทีเลยล่ะ

           วิธีทําให้ผิวขาว : น้ำผึ้งและโยเกิร์ต นำส่วนผสมดังกล่าวพอกลงบนใบหน้าหรือผิวกายประมาณ 30 นาทีก่อนล้างออก ช่วยให้ผิวขาวและนุ่มขึ้นได้ สามารถทำได้วันเว้นวันค่ะ

           วิธีทําให้ผิวขาว : กล้วยหอมและนมสด นำมาบดผสมกัน จากนั้นนำไปพอกผิวในบริเวณที่ต้องการ จะทำให้ผิวขาวเนียนสวยได้ สามารถทำได้วันเว้นวันเช่นกัน

แก้ปัญหา รักแร้ดำ

แก้ปัญหา รักแร้ดำ


แก้ปัญหา รักแร้ดำ (อสมท.)

          หลีกเลี่ยงการเช็ดถูแรงๆ บริเวณผิวใต้วงแขนที่บอบบาง หยุดใช้สารเคมีที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือแพ้ทันที เช่น หากแพ้น้ำหอม ควรเปลี่ยนไปใช้โรลออนชนิดที่ไม่มีสารสร้างกลิ่นหอมที่ระบุว่า Fragrance-Free โดยสังเกตส่วนประกอบสำคัญบนฉลาก หากมีชื่อสารที่แพ้ ควรหลีกเลี่ยงไปใช้ยาระงับกลิ่นแบบอื่นแทน

          ถ้าดำมากหรืออาการไม่ดีขึ้นให้ปรึกษาแพทย์ทันที เช่น ในกรณีที่รักแร้ดำและนูนเหมือนกำมะหยี่ ซึ่งมักพบในคนเป็นโรคเบาหวาน หรือโรคจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Erythrasma เป็นต้น

          มาลองใช้สูตรสมุนไพรธรรมชาติ เพื่อช่วยให้ใต้วงแขนขาวเนียน ดังนี้ค่ะ

           มะขาม พืชพื้นบ้านที่เรารู้จักกันดี โดยนำมะขามเปียกผสมกับน้ำผึ้งนิดหน่อยมาทาทิ้งไว้ 5 นาที แล้วล้างออก นอกจากทำให้ผิวขาวใสแล้ว ยังช่วยให้ผิวเนียนนุ่มได้อีกด้วย

           มะนาว ที่เหลือจากก้นครัว ใช้มะนาวเอามาถูรักแร้ทิ้งไว้ 2-3 นาที จึงล้างน้ำออก ส่วนที่เหลือของมะนาวยังใช้ถูตามข้อพับ หัวเข่า ข้อศอกที่ดำๆ ได้อีกด้วย

           เกลือสปา ใช้เกลือขัดผิวถูเบาๆ เน้นว่าเบาๆ นะคะ ไม่เช่นนั้นเกลืออาจจะบาดรักแร้เอาได้

          ลองทำดูนะคะ  ที่สำคัญอย่าลืมว่าต้องดูแลสุขภาพให้ดีจากภายใน แล้วคุณจะรู้ว่าความสวย ความหล่อในแบบฉบับของคุณเป็นเช่นไรค่ะ

เคล็บลับกินเหล้าไม่เมา

เหล้าเป็นสารเคมีกึ่งธรรมชาติกึ่งสังเคราะห์ ทั่วไปเรียกว่า แอลกอฮอล์ (Alcohol) มีชื่อทางเคมีว่า เอธานอล มีฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง ผู้ที่กินเหล้าในปริมาณไม่มาก จะรู้สึกผ่อนคลาย เนื่องจากแอลกอฮอล์ไปกดจิตใต้สำนึกที่คอยควบคุมตนเอง ทำให้กล้าแสดงออกมากขึ้น แต่เมื่อกินมากขึ้นก็จะกดสมองบริเวณอื่นๆ ทำให้เสียการทรงตัว พูดไม่ชัด จนกระทั่งหมดสติในที่สุด ดังนั้นคืนสังสรรค์ปาร์ตี้สุดมันส์ของท่านนักดื่มทั้งหลาย อาจกลายเป็นฝันร้าย เพราะอาการเมา การดูแลการดื่มของตัวเอง  จึงเป็นเรื่องสำคัญ ที่นักดื่มทั้งหลายควรพึงปฏิบติ ซึ่งวิธีชะลออาการเมาก็มีไม่น้อย แล้วแต่ใครจะนำข้อไหนไปใช้ก็ไม่ว่ากัน...
slow.jpgอย่าปล่อยให้ท้องว่าง
จำไว้เสมอว่าก่อนการดื่มทุกครั้ง ควรหาอะไรทานไม่ให้ท้องว่าง เพราะการดื่มเหล้าขณะท้องว่าง แอลกอฮอล์จะถูกดูดซึมได้ง่าย ทำให้เกิดอาการเมาอย่างรวดเร็ว เมื่อกินอาหารมาก่อน แอลกอฮอล์ใช้เวลา 1 ถึง6 ชั่วโมง จึงจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย แต่ถ้ากินเหล้าในขณะที่ท้องว่าง แอลกอฮอล์ใช้เวลาดูดซึมเพียง 30 นาที ถึง 2 ชั่วโมง และนอกจากอาการเมาจะมาเร็วกว่าปกติแล้ว อาจเจอโชคสองชั้น กลายเป็นโรคกระเพาะหรือกระเพาะอักเสบอีกด้วย
ดื่มน้อยๆ เพื่อดื่มนานๆวิธีนี้คงไม่เป็นที่สนใจเท่าไรกับพวกนักดื่มคอทองแดง แฟนพันธ์แท้แอลกอฮอล์ทั้งหลาย แต่นักดื่มมือใหม่หรือใครที่รู้ตัวว่า เอาเหล้าหยอดตาก็เมาแล้ว วิธีนี้คงเป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่ต้องลบคำว่ากินให้คุ้มออกไปจากหัว ไม่ต้องกินให้ได้โล่ก็เมาเหมือนกันได้ แต่เมาพอบางๆ ระดับที่ตัวคุณกำลังสนุกจะดีที่สุด
ดื่มช้าๆ เวลามีทั้งคืน
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า ยุงไม่มีทางที่จะบินมาไข่ที่แก้วเหล้าของคุณได้ น้ำแข็ง..ไม่ใช่ของหายากละลายแล้วก็เติมใหม่ได้ ดังนั้นไม่ต้องรีบกิน ค่อยๆจิบ ดื่มช้าๆ อย่าไปเชื่อหรือทำตามเพื่อนทุกอย่าง เพื่อนบอกให้หมดแก้วก็หมด.. สุดท้ายเราเมา แต่เพื่อนไม่เมา มีให้เห็นกันบ่อยไป
  
รู้จักข้อจำกัดของตัวเอง ผลการศึกษาในสหรัฐอเมริการะบุว่าบางคนมีปฏิกริยาต่อแอลกอฮอล์ไวกว่าคนอื่น นอกจากนี้อัตราของการดูดซึมแอลกอฮอล์ก็ขึ้นอยู่กับฮอร์โมนของแต่ละคน ดังนั้นผู้หญิงจะเมาเร็วเป็นพิเศษในช่วงที่รังไข่ผลิตไข่ และช่วงก่อนมีประจำเดือน รู้อย่างนี้แล้ว วันไหนไม่พร้อมก็เบาๆซักนิดก็จะดีกว่านะสาวๆ
เข้าห้องน้ำบ่อยๆในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าให้คุณไปเต้นหรือไปนั่งฟังเพลงในห้องน้ำ แต่หมายถึงการขับถ่ายบ่อยๆ แอลกอฮอล์จะถูกขับออกมาจากร่างกาย ช่วยลดอาการเมาของคุณให้ลดลงได้บ้าง วิธีนี้หนุ่มๆ คงไม่เป็นปัญหา ที่ไหนก็ได้ยิงกระต่ายได้หมด แต่สำหรับสาวๆ จะเก็บดอกไม้ไม่เลือกที่ไม่ได้ คงต้องขอ “ทำใจ”อย่างเดียว เพราะปัญหาประชากรที่ใช้มีมากกว่าปริมาณห้องน้ำอันนี้น่าเห็นใจ 

ดื่มเหล้าสลับกับน้ำ
การดื่มเหล้า 1 แก้วสลับกับน้ำเปล่า 1 แก้ว นอกจากชะลออาการเมาของคุณแล้ว ยังช่วยให้คุณเข้าห้องน้ำได้บ่อยขึ้น คุณก็ขับเอาแอลกอฮอล์ออกมาได้เยอะขึ้นเช่นกัน วิธีนี้เหมาะกับคนที่ไม่มีปัญหาเรื่องการเข้าห้องน้ำอย่างท่านหนุ่มๆทั้งหลาย หรือใครที่โต๊ะอยู่ใกล้ห้องน้ำ
เต้นลืมโลก
การเต้นเป็นอีกวิธีที่ช่วยให้อาการเมาดีขึ้นได้ เฉพาะการเต้นที่ทำให้เหงื่อออกเท่านั้น ข้อย้ำ..เหงื่อต้องออกเท่านั้น คงใช้ไม่ได้กับท่าเต้นในที่แคบพอดีตัว แค่กระดิกนิ้วตามก็มันส์แล้วเพราะการที่ร่างกายเราขับเหงื่อออกมา จะช่วยให้แอลกอฮอล์ถูกขับออกมาด้วยเช่นกัน แล้วถ้าถามว่าต้องเต้นท่าไหนถึงจะดีที่สุด กฎตายตัวของการเต้นไม่ได้ระบุไว้ แต่โปรดอ่านหัวข้อข้างต้น แล้วคุณจะรู้ว่าต้องเต้นแบบไหน...

เคล็ดลับให้ผมยาวเร็วทันใจ

เคล็ดลับให้ผมยาวเร็วทันใจ
หาก คุณเป็นคนหนึ่งที่อยากจะเร่งวันเร่งคืนให้ผมยาวได้ดั่งใจ นี่คือวิธีการเพิ่มการเจริญเติบโตให้เส้นผมของคุณได้อย่างแข็งแรงและรวดเร็ว
ออกกำลังกายให้เส้นผม 
เร่ง สปีดความเร็วให้ผมยาวเร็วแบบติดเทอร์โบด้วยการก้มศีรษะให้เลือดไปเลี้ยงที่ ศีรษะค้างไว้สัก 30 วินาที ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาทำเช่นนี้ทุกวัน เลือดจะไหลเวียนไปเลี้ยงเส้นผมที่ศีรษะ ทำให้เส้นผมแข็งแรงและยาวเร็วขึ้นด้วย
เพิ่มโปรตีน 
Lee Stafford ช่างทำผมคนดังของเกาะอังกฤษแนะว่า “โปรตีนสามารถปกป้องและซ่อมแซมเส้นผม ช่วยลดการหลุดร่วงและการแตกหักของเส้นผม ทำให้เส้นผมแข็งแรง และยาวเร็วขึ้นได้”
กินปลา 
Richard Ward กล่าวไว้ว่า “ปลา พืชผักใบเขียว และบลูเบอรี่เป็นแหล่งอาหารที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ฉะนั้นบริเวณใดก็ตามในร่างกายที่มีเลือดไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงได้ดีจะทำให้ ร่างกายบริเวณนั้นแข็งแรง มีชีวิตชีวารวมไปถึงเส้นผมบนศีรษะด้วย”
เคยนวดศีรษะกันบ้างไหม Phillip Kingsley เปิดเผยให้ฟังถึงศาสตร์ของการนวดศีรษะว่า “การนวดศีรษะจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตบนศีรษะ และทำให้ระบบเมตาโบลิซึ่ม ทำงานได้อย่างเป็นปกติ และยังจะช่วยทำให้เส้นผมเติบโตเร็วขึ้น การนวดศีรษะอาจทำได้ด้วยตัวเองที่บ้านในขณะสระผม โดยการใช้นิ้วมือกดและนวดไปตามจุดบนศีรษะอย่างเบามือ”
แปรงให้ถูก 
หลีกเลี่ยงการทำให้เส้นผมขาดและหลุดร่วงด้วยการไม่หวีผมขณะยังเปียกอยู่ เลือกใช้หวีซี่ใหญ่และห่างในการหวีผมช่วงผมเปียกแทน
ตัดผมบ้าง 
อาจ จะเคยได้ยินมาบ้างว่าการเล็มผมบ่อยๆ จะช่วยให้ผมยาวเร็วขึ้น การเล็มผมนอกจากจะทำให้ผมยาวเร็วขึ้นแล้วถือว่ายังเป็นการกำจัดผมแตกปลายไป ในตัวด้วย รู้อย่างนี้แล้วก็หมั่นให้ช่างเล็มผมก็จะดีไม่ใช่น้อย
ต่อผมก็ได้ 
สำหรับ สาวใจร้อนที่ทนรอให้ผมยาวไม่ได้หรืออาจมีภารกิจสำคัญที่จำเป็นเร่งด่วนที่จะ ต้องไว้ผมยาวภายใน 1 วัน ให้ลองมองหาร้านทำผมที่มีบริการต่อผมดู ให้เลือกใช้บริการร้านต่อผมที่ค่อนข้างมีประสบการณ์สักนิดก่อนที่คิดจะต่อผม

เคล็ดลับหน้าใสด้วย 4 สูตร

เคล็ดลับหน้าใสด้วย 4 สูตร

สาวสวย

      เคล็ดลับหน้าใสที่ผู้หญิงทุกคนอยากจะมี วันนี้มี 4 สูตรหน้าใสมาฝากเป็นเกร็ดความรู้และเคล็ดลับให้ลองทำ

1. สูตรเพิ่มความสดชื่นเปล่งปลั่งให้กับผิวหน้า 
ให้ท่านล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นจนสะอาด จากนั้นนำแอปเปิ้ลที่ยังไม่ปลอกเปลือกครึ่งผลมาปั่นพอละเอียด แล้วนำมาพอกหน้าเว้นเปลือกตา ทิ้งไว้ประมาณ 25 นาที แล้วล้างออก

2. สูตรลดริ้วรอย ทำให้หน้านวลใส ให้นำแอปเปิ้ลครึ่งผลมาปั่นพอละเอียด จากนั้นก็มะนาวมาคั้นเอาแต่น้ำประมาณ 1ช้อนชาใส่ลงไป แล้วผสมให้เข้ากัน จากนั้นนำมาพอกให้ทั่วหน้า เว้นบริเวณรอบดวงตาไว้ ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออก

3. สูตรหน้าเด้ง ไม่หยาบกร้าน 
นำโยเกิร์ต 3 ช้อนโต๊ะมาผสมกับมะเขือเทศลูกเล็ก ๆ ประมาณ 3 ลูก ปั่นโยเกิร์ตกับมะเขือเทศพอละเอียด แล้วนำมาพอกหน้าให้ทั่ว โดยเว้นรอบดวงตา ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออก

4. สูตรขัดหน้าขาว และลดริ้วรอยหมองคล้ำ 
นำโยเกิร์ต 1 ถ้วย แล้วผสมกับเกลือป่นละเอียด 1 ช้อนโต๊ะผสมให้เข้ากัน นำมาพอกให้ทั่วใบหน้า แล้วขัด ๆ ถู ๆ ให้ทั่ว ขัด 5 นาที ทิ้งไว้อีก 5 นาที แล้วล้างออก ทำเดือนละครั้งกำลังดี คล้ายๆ กับการสครับหน้านั้นเอง

เพียงแค่ 4 สูตรง่ายคุณก็มีผิวหน้าใส สวยสมใจแล้วค่ะ

 

ไมโครโฟน


ไมโครโฟน คือ อุปกรณ์ที่เปลี่ยนเสียงเป็นสัญญาณไฟฟ้า การออกแบบไมโครโฟนที่ดี จะต้องสามารถเปลี่ยนพลังเสียงได้ดี ตลอดย่านความถี่เสียง ซึ่งมีความจำกัดมาก จึงมีเทคโนโลยีหลายอย่าง้กิดขึ้นเพื่อให้ได้สัญญาณสียง ที่ดีเหมือนต้นกำเนิดเสียง ดังนั้น จึงมีไมโครโฟนหลายชนิดที่มีคุณลักษณะไม่เหมือนกัน
ชนิดของไมโครโฟน
ไมโครโฟนแบ่งตามชนิดของการใช้วัสดุอุปกรณ์นำมาสร้างได้ 5 ชนิด คือ
1. ไมค์ไดนามิค ( Dynamic Microphon )
มีโครงสร้างประกอบด้วย ดังนี้
-แม่เหล็กถาวร ( magnet ) 
- ไดอะแฟรม ( Diaphragm )
- ขดลวด ( Coil )
หลักการทำงาน ดังนี้ คือ เมื่อเสียงมากระทบที่แผ่นไดอะแฟรมบางๆ จะเกิดการสั่นขึ้นผลจากการสั่นเพียงเล็กน้อยทำให้ขดลวดเขย่า เกิดการเคลื่อนที่ผ่านสนามแม่เหล็กทำให้ขดลวดเกิดกระแสไฟฟ้า ( Current ) ขึ้นตามผลการสันของไดอะแฟรม แตสัญญาณที่ได้จากไมโครโฟนเป็นขนาดความแรงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงต้องมีการขยายขึ้นเป็นพิเศษที่เครื่องขยายเสียง โดยวงจรขยายสัญญาณไมโครโฟนเท่านั้น เรียกว่า ปรีไมโครโฟน ( Pre Microphone ) ไมโครโฟนชนิดนี้ มีอิมพิแดนซ์ 600 โอห์มมีความไวในทิศทางด้านหน้าและในรัศมีสั้นๆ ประมาณ 4 เซนติเมตร จนบางทีเรียกว่าไมค์ร้อง เหมาะสำหรับการแสดงการขับร้อง
2. ไมค์คอนเดนเซอร์ ( Condensor Microphone )
มีโครสร้างประกอบด้วย ดังนี้
- แบตเตอรี่ ( Battery )
- ไดอะแฟรม ( Diaphragm )
- Back plate
- วงจรขยายสัญญาณ ( Amplifier )
คอนเดนเซอร์ไมโครโฟนนี้ต้องมีไฟฟ้า DC เลี้ยงจึงจะทำงาน แรงดันตั้งแต่ 1.5 ถึง 48 โวลท์ ไมค์คอนเดนเซอร์ใช้หลักการค่าความจุของคาปาซิเตอร์เปลี่ยนแปลงโดยเมื่อมีเสียงปะทะที่ไดอะแฟรม จึงจะทำให้เกิดการสั่นไหว ทำให้มีการขยับตัวของระยะห่างชองแผ่นเพลทที่เป็นไดอะแฟรมกับแผ่นเพลทแผ่นหลัง ( Back Plate ) ทำให้ค่าความจุมีการเปลี่ยนแปลงตามแรงปะทะจากคลื่นเสียง ทำให้เกิดสัญญาณไฟฟ้าของเสียงนั้นส่งมาที Amplifier ทำการขยายสัญญาณเสียงเป็นกระแสไฟฟ้าที่แรงส่งออกไปตามสายนำสัญญาณ ดังนั้น ไมโครโฟนชนิดนี้จึงมีความไวมาก มีอิมพิแดนซ์ต่ำมาก เมื่อยังไม่มีการออกแบบพิเศษ ความถี่ตอบสนองได้ดีที่ความถี่ปานกลางขึ้นไป และทิศทางการรับ รอบทิศทาง
3. ไมค์คริสตอล ( Crystal microphone )
มีโครงสร้างประกอบด้วย ดังนี้
- Diaphragm รับเสียง
- แร่ Crystal กำเนิดไฟฟ้า
- แผ่น Back plate รองรับปรกบด้านหลัง
- สายต่อนำกระแสไฟฟ้าสัญญาณเสียง
ไมโครโฟนชนิดนี้มีแร่คริสตอลเป็นตัวกำเนิดกระแสไฟฟ้า โดยจะรับแรงสั่นจากคลื่นอากาศของเสียงทางไดอะแฟรม ไฟฟ้าที่ได้แรงดันสูงกว่า ไมโครโฟนชนิดอื่นๆ จึงมีค่าอิมพิแดนซ์สูงถึง 10 กิโลโอห์ม เป็นชนิดที่นิยมใช้กับ เครื่องขยายเสียง รุ่นหลอด เมื่อยังไม่มีการออกแบบพิเศษความตอบสนองได้ดีที่ความถี่เสียงกลาง ปัจจุบันไม่ปรากฎเห็น ในการใช้งานทั่วไป
4. ไมค์คาร์บอน ( Carbon Microphone )
ไมค์คาร์บอน เป็นไมโครโฟนสมัยแรกแห่งวงการเครื่องเสียง อาศัยหลักการความต้านทานของคาร์บอนเปลี่ยนค่าได้ คือ เมื่อคาร์บอนมีความหนาแน่นมากจะมีความต้านทานน้อย ทำให้กระแสไหลมาก และถ้าความหนาแน่นน้อย จะเกิดความต้านทานมาก ทำให้กระแสไหลน้อย เมื่อนำมายึดติดกับไดอะแฟรม จะทำให้เกิดการสั่นไหวเมื่อมีคลื่นอากาศเสียง ทำให้ความต้านทานเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยตามคลื่นเสียง ถ้ามีการป้อนกระแสไฟฟ้าเข้าไป จะทำให้ได้สัญญาณเสียงออกมา เป็นกระแสไฟฟ้าเปลี่ยนแปลงตามความต้านทาน คุณภาพเสียงที่ได้จะอยู่ในช่วงความถี่ต่ำ ปัจจุบันไม่พบเห็นในการใช้งาน
5. ไมค์เซอร์รามิค ( Ceramic Microphone )
ปัจจุบันไม่พบเห็นใช้งานแล้ว มีลักษณะเหมือนกับคาร์บอนแต่วัสดุที่ใช้ต่างกัน คือ โครงสร้างประกอบด้วย ดังน
ี้- Diaphragm รับเสียง
- Ceramic กำเนิดไฟฟ้า
- แผ่น Back plate รองรับประกบด้านหลัง
- สายต่อนำกระแสไฟฟ้าสัญญาณเสียง
ลำโพง(speaker)
ลำโพงที่เห็นขายกันอยู่ทั่วๆไป ภายในประกอบด้วย
1. กรวยหรือไดอะแฟรม ทำด้วยกระดาษแข็งหรือแผ่นพลาสติก หรือจะทำด้วยแผ่นโลหะบางๆ ก็ได้
2. ขอบยึด เป็นขอบของไดอะแฟรมมีความยืดหยุ่นติดอยู่กับเฟรม สามารถเคลื่อนที่ขึ้นและลงได้ในระดับหนึ่ง 
3. เฟรมหรือบางทีเรียกว่า บาสเก็ต (basket) ท ยอดของกรวยติดอยู่กับคอยส์เสียง( Voice coil ) 
4. คอยส์เสียงจะยึดอยู่กับ สไปเดอร์ (Spider) มีลักษณะเป็นแผ่นวงกลมเหมือนแหวน สไปเดอร์จะยึดคอยส์เสียงให้อยู่ในตำแหน่งเดิม และทำหน้าที่ เหมือนกับสปริง โดยจะสั่นสะเทือน เมื่อมีสัญญาณไฟฟ้าเข้ามา

รูป ลำโพงที่ขายกันอยู่ทั่วๆไป มีเฟรมที่ทำด้วยโลหะ ที่ยอดกรวยติดแม่เหล็กถาวร และมีแผ่นไดอะแฟรมทำด้วยกระดาษ
การทำงานของคอยส์เสียงใช้หลักการของแม่เหล็กไฟฟ้า โดยได้จากกฎของแอมแปร์ เมื่อมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านเข้าไป ในขดลวดหรือคอยส์ ภายในคอยส์จะเกิดสนามแม่เหล็กขึ้น ซึ่งจะเหนี่ยวนำให้แท่งเหล็กที่สอดอยู่เป็นแม่เหล็กไฟฟ้า ปกติแม่เหล็กจะมีขั้วเหนือและขั้วใต้ ถ้านำแม่เหล็กสองแท่งมาอยู่ใกล้ๆกัน โดยนำขั้วเดียวกันมาชิดกันมันจะผลักกัน แต่ถ้าต่างขั้วกันมันจะดูดกัน ด้วยหลักการพื้นฐานนี้ จึงติดแม่เหล็กถาวรล้อมคอยส์เสียงและแท่งเหล็กไว้ เมื่อมีสัญญาณ ทางไฟฟ้าหรือสัญญาณเสียงที่เป็นไฟฟ้ากระแสสลับป้อนสัญญาณให้กับคอยส์เสียง ขั้วแม่เหล็กภายในคอยส์เสียง จะเปลี่ยนทิศทางตามสัญญาณสลับที่เข้ามา ทำให้คอยส์เสียงขยับขึ้นและลง ซึ่งจะทำให้ใบลำโพงขยับเคลื่อนที่ขึ้นและลงด้วย ไปกระแทกกับอากาศ เกิดเป็นคลื่นเสียงขึ้น ถ้าเป็นเครื่องเสียงระบบโมโน ลำโพงจะมีอันเดียว แต่สำหรับเครื่องเสียง ที่เป็นระบบเสตอริโอ ลำโพงจะมี 2 ข้าง คือข้างซ้าย และข้างขวา
รูป ขั้วไฟฟ้าของลำโพงจะมีไว้ 2 ขั้ว ไว้ต่อกับเครื่องขยายเสียง
เครื่องขยายเสียงทุกประเภท จะต่อเข้ากับสัญญาณไฟฟ้ากระแสสลับ ซึ่งกระแสไฟฟ้ามีการเคลื่อนที่สลับทิศทางอยู่ตลอดเวลา แต่ก่อนที่จะป้อนเข้าลำโพง สัญญาณที่อ่านได้จากเทปแม่เหล็ก แผ่นซีดี หรือ เครื่อง MP3 จะต้องได้รับการขยายสัญญาณ ให้แรงขึ้นก่อน จึงจะสามารถขับออกทางลำโพงได้
ใบลำโพงทำด้วยกรวยกระดาษ ติดอยู่กับคอยส์เสียง เมื่อคอยส์เสียงสั่นขึ้นและลงตามสัญญาณไฟฟ้ากระแสสลับ มันจะทำให ้ใบลำโพงสั่นขึ้นลงด้วย ใบลำโพงจะติดอยู่บนสไปเดอร์ ที่ทำหน้าที่เหมือนสปริง คอยดึงใบลำโพงที่สั่นสะเทือนให้ กลับเข้าสู่ตำแหน่งเดิมเสมอ เมื่อไม่มีสัญญาณไฟฟ้าป้อนเข้าลำโพง
ถ้ามีสํญญาณไฟฟ้ากระแสสลับป้อนเข้าไปในคอยส์เสียง ทิศทางของกระแสไฟฟ้าจะกลับทิศทางอยู่ตลอดเวลา (สังเกตที่เครื่องหมาย + และ - จะเห็นว่ากลับทิศทางตลอดเวลาด้วย) และทำให้แผ่นลำโพงสั่นเคลื่อนที่ขึ้นและลง อัดอากาศด้านหน้าเกิดคลื่นเสียงขึ้น สัญญาณไฟฟ้ากระแสสลับที่ใส่ให้กับลำโพง จะแปรตามความถี่และแอมพลิจูด ซึ่งเป็นสัญญาณเดียวกันกับสัญญาณไฟฟ้ากระแสสลับที่ได้จากไมโครโฟน แต่ว่าสัญญาณที่ได้ในครั้งแรก ยังอ่อนมาก จึงต้องผ่านเครื่องขยายก่อน จึงจะป้อนเข้าลำโพงได้ ใบลำโพงจะสั่นเร็วหรือช้าขี้นอยู่กับความถี่ และเสียงจะดัง หรือค่อยขึ้นอยู่กับแอมพลิจูดของสัญญาณไฟฟ้า ขนาดของลกำโพงมีความสำคัญมาก ไม่ใช่ว่าลำโพงตัวเดียว สามารถจะให้ความถี่ได้ออกมาทุกๆความถี่ ถ้าต้องการให้เหมือนกับเสียงธรรมชาติมากที่สุด ลำโพงจะต้องมีหลายขนาด เราจะแบ่งลำโพงโดยใช้ความถี่ออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
1. วูฟเฟอร์ (Woofers) 
2. ทวีทเตอร์ (Tweeters) 
3. มิดเรนส์ (Midrange)
วูฟเฟอร์ (Woofers)
ทวีทเตอร์ (Tweeters)

ลำโพง

ประวัติของออปแอมป์

ประวัติของออปแอมป์

                        จอร์จ  ฟิลบริกค์ ( George   Philbrick ) เป็นบุคคลหนึ่งที่ทำการพัฒนา และทำให้ออปแอมป์เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง เขาได้ตั้งบริษัทชื่อ ฟิลบริกค์  แอสโซซิเอท ( Philbrick Associates )โดยได้ออกแบบ และผลิตออปแอมป์ในแบบสุญญากาศเดี่ยว ( Single  Vaccum Tube Op-Amp ) ขึ้นมาทดลอง และได้นำออกสู่ตลาดในปี พ.ศ. 2491 ต่อมาได้มีการพัฒนาออปแอมป์เพื่อใช้งานกับคอมพิวเตอร์  ซึ่งจะเป็นการใช้งานในเชิงคณิตศาสตร์เท่านั้น โดยใช้เป็นวงจร บวก ลบ คูณ หาร และแก้สมการดิฟเฟอเรนเชียล

                        ออปแอมป์ถูกพัฒนาขึ้นในรูปแบบของไอซี ( IC ) ผลิตขึ้นโดยบริษัทแฟร์ไชลด์ ( Fairchild ) ในช่วงปี พ.ศ. 2507 – 2511 เช่น ออปแอมป์  เบอร์ 702 , 709  และ 741 ขณะเดียวกัน บริษัทเนชั่นแนล       เซมิคอนดัคเตอร์ ( National  Semiconductor ) ได้ผลิตออปแอมป์ เบอร์ 101/103 ขึ้นมาเช่นกัน ต่อมาได้นำเทคโนโลยีการผลิตโดยการนำฟิลด์เอฟเฟคทรานชีสเตอร์ ( Field Effect Transistor เรียกย่อๆว่า FET )มาใช้แทนไบโพลาร์ทรานซีสเตอร์ ( Bipolar Transistor ) โดยการนำ JFET มาเป็นส่วนอินพุตของออปแอมป์     ทำให้กระแสด้านอินพุตต่ำ เนื่องจากอินพุตอิมพีแดนซ์สูงมาก ส่วนทางด้านเอาต์พุตของออปแอมป์จะใช้ MOSFET ทำให้เอาต์พุตอิมพีแดนซ์มีค่าต่ำมาก ดังนั้นจึงสามารถนำออปแอมป์มาใช้งานได้ดี และมีประสิทธิภาพดีมากขึ้น   
คุณสมบัติของออปแอมป์               
ออปแอมป์ (Op-Amp)  เป็นชื่อย่อสำหรับเรียกวงจรขยายที่มาจาก Operating Amplifier เป็นวงจรขยายแบบต่อตรง (Direct couled amplifier) ที่มีอัตราการขยายสูงมากใช้การป้อนกลับแบบลบไปควบคุมลักษณะการทำงาน ทำให้ผลการทำงานของวงจรไม่ขึ้นกับพารามิเตอร์ภายในของออปแอมป์ วงจรภายในประกอบด้วยวงจรขยายที่ต่ออนุกรมกัน ภาคคือ วงจรขยายดิฟเฟอเรนเชียลด้านทางเข้า  วงจรขยายดิฟเฟอเรนเชียลภาคที่สอง วงจรเลื่อนระดับและวงจรขยายกำลังด้านทางออก สัญลักษณ์ที่ใช้แทนออปแอมป์จะเป็นรูปสามเหลี่ยม ไอซีออปแอมป์เป็นไอซีที่แตกต่างไปจากลิเนียร์ไอซีทั่วๆ ไปคือไอซีออปแอมป์มีขาอินพุท 2 ขา เรียกว่าขาเข้าไม่กลับเฟส (Non-Inverting Input) หรือ ขา + และขาเข้ากลับเฟส (Inverting Input) หรือขา  ส่วนทางด้านออกมีเพียงขาเดียว เมื่อสัญญาณป้อนเข้าขาไม่กลับเฟสสัญญาณทางด้านออกจะมีเฟสตรงกับทางด้านเข้า แต่ถ้าป้อนสัญญาณเข้าที่ขาเข้ากลับเฟส สัญญาณทางออกจะมีเฟสต่างไป 180 องศา จากสัญญาณทางด้านเข้า

รูปที่ 1 แสดงสัญลักษณ์ออปแอมป์

คุณสมบัติของออปแอมป์ในทางอุดมคติ

               1.       อัตราขยายมีค่าสูงมากเป็นอนันต์หรือ อินฟินิตี้ (AV = )

                2.       อินพุทอิมพีแดนซ์มีค่าสูงมากเป็นอนันต์ (Zi = )

                3.       เอาท์พุทอิมพีแดนซ์มีค่าต่ำมากเท่ากับศูนย์ (Zo = 0)

                4.       ความกว้างของแบนด์วิท (Bandwidth) ในการขยายสูงมาก (BW = )

                5.       สามารถขยายสัญญาณได้ทั้งสัญญาณ AC และ DC

รีเลย์

หน้าที่ของเครื่องขยายเสียง

 หน้าที่ของเครื่องขยายเสียง  ถ้าเปรียบเทียบ ก็เหมือนกับปั๊มน้ำ คือมีหน้าที่ปั๊มให้น้ำทางด้านอินพุทที่ไหลเข้ามา  ออกไปทางด้านเอาท์พุท  ด้วยความแรงและเร็ว    เช่นเดียวกัน สำหรับเครื่องขยายเสียง   มันมีหน้าที่ปั๊มให้กระแสไฟฟ้าที่ไหลเข้ามา  ออกไปทางด้านเอาท์พุท  ด้วยความแรงและเร็ว  
       เครื่องขยายเสียงจะขับดันสัญญาณด้านเอาท์พุท   ตามสัญญาณด้านอินพุท   เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นเราจะแบ่งวงจรเครื่องขยายเสียงออกเป็น  2  ส่วน  วงจรส่วนที่หนึ่งคือ วงจรทางเอาท์พุท  ได้รับพลังงานจากแบตเตอรี่  หรือจากแหล่งจ่ายไฟฟ้ากระแสตรง  ถ้าเราใช้วิธีเสียบปลั๊กไฟที่บ้าน  ไฟที่ได้เป็นไฟกระแสสลับ จะต้องแปลงไฟเป็นไฟตรงก่อนจึงจะป้อนให้กับวงจรเครื่องขยายเสียงได้
      วงจรส่วนที่สองคือ  วงจรอินพุท  ซึ่งจะรับสัญญาณไฟฟ้าจากเทปหรือเครื่องเล่นซีดี   ดีวีดี  แผ่นเสียง  และไมโครโฟน  สัญญาณที่เข้ามายังเป็นลูกคลื่นลูกเล็กๆ  ไม่สามารถนำไปขับออกทางลำโพงได้  อย่างไรก็ตามถ้านำหูฟัง  ไปต่อไว้ สามารถได้ยินเสียงเบาๆ  แต่เมื่อนำสัญญาณนี้ผ่านเข้าเครื่องขยายเสียงจะถูกขยายให้มีขนาดมากขึ้น  สามารถนำไปขับออกทางลำโพงได้
 
แนวคิดพื้นฐานของเครื่องขยายเสียง สัญญาณไฟฟ้าด้านเข้าจะถูกขยายให้มีขนาดเพิ่มขึ้น ขับออกทางลำโพง
         สำหรับเครื่องขยายเสียงทั่วๆไป   มักจะมีภาคขยายสัญญาณ  ก่อนจะเข้าเครื่องขยายเสียง   เราเรียกภาคนี้ว่า  ภาคปรีแอมป์พลิฟลายเออร์  (Pre- amplifier)  ซึ่งจะทำงานเหมือนกับภาคแอมพลิฟลายเออร์ทุกประการเพียงแต่สัญญาณขยายอ่อนกว่า  เพื่อไม่ให้ขยายสัญญาณผิดเพี้ยน   ดังนันเครื่องขยายเสียงราคาแพง จะมีภาคปรีแอมป์  หลายช่วงก่อนที่จะขยายเสียงออกทางลำโพง  ทำให้ได้สัญญาณออกมาแรง และเหมือนกับสัญญาณขาเข้าทุกประการ หรือถ้าปรับแต่ง อาจจะไพเราะกว่าเสียงจริงก็ได้   พวกนักร้องคาราโอเกะนิยมมากทั้งๆที่เสียงขาเข้าอาจจะฟังไม่ค่อยไพเราะนัก แต่พอผ่านการปรับแต่ง กลายเป็นเสียงนักร้องซีดีทองคำก็เป็นได้
        คุณลองเปิดเข้าไปดูข้างในของเครื่องขยายเสียง  คุณจะได้เห็นอุปกรณ์ทางไฟฟ้ามากมายลายตาไปหมด   เช่น ตัวเก็บประจุ  ตัวต้านทาน   และทรานซิสเตอร์   แน่นอนถ้าคุณไม่เข้าใจ คุณจะทึ่ง และตื่นเต้น ว่าทำได้อย่างไร  อย่างไรก็ตามถ้าคุณเข้าใจหลักการพื้นฐาน  คุณจะเห็นอุปกรณ์เหล่านั้นไม่ได้แตกต่างกับวาวล์   หรือปั๊มน้ำเลย
   
             ภายในเครื่องขยายเสียง  คุณจะได้เห็นอุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์มากมาย  บริเวณที่แสดงลูกศรชี้  เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญสุด  เรียกว่าทรานซิสเตอร์   เปรียบเทียบได้กับปั๊มน้ำ  ดังนั้นส่วนนี้จึงเกิดความร้อนสูงต้องมีตัวระบายความร้อน ทำด้วยแผ่นโลหะ เรียกว่า ฮีทซ์ซิงค์ (Heat   Sink)
        อุปกรณ์ต่างๆภายในเครื่องขยายเสียงมีมากมายหลายชิ้น   คุณไม่จำเป็นจะต้องทราบการทำงานของมันทุกๆชิ้น   เพียงเข้าใจพื้นฐานเบื้องต้นของอุปกรณ์ที่สำคัญสุดก็พอ  ในตอนหน้าผมจะอธิบายให้ฟัง